ลาวครั่ง
ลาวครั่ง
ประวัติความเป็นมาของคนไทยเชื้อสายลาวครั่ง
ประวัติความเป็นมาของลาวครั่งนั้น
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ พบว่าบรรพบุรุษได้อพยพมาจากอาณาจักรเวียงจันทร์ และหลวงพระบางพร้อมกับลาวกลุ่มอื่นๆ ได้อพยพเข้ามาที่ประเทศไทยด้วยเหตุผลที่ทางการเมืองและเป็นเชลยศึกยามสงคราม
อาศัยอยู่บริเวณภาคกลางของประเทศไทย
สิริวัฒน์ คำวันสา
(2529 : 20) ได้กล่าวว่าลาวครั่งเป็นชื่อของภาษาและกลุ่มผู้มีเชื้อสายลาวกลุ่มหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในภาคกลางของประเทศไทย เช่น ในจังหวัดนครปฐม
จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดชัยนาท จังหวัดอุทัยธานี ฯลฯ ลาวครั่งมักจะเรียกตนเองว่า
"ลาวขี้ครั่ง" หรือ "ลาวคั่ง" ความหมายของคำว่า
"ลาวครั่ง" ยังไม่ทราบความหมายที่แน่ชัดบางท่านสันนิฐานว่ามาจากคำว่า
"ภูฆัง" ซึ่งเป็นชื่อของภูเขาที่มีลักษณะคล้ายระฆัง
อยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของหลวงพระบางในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
อันเป็นถิ่นฐานเดิมของลาวครั่ง
วัลลียา วัชราภรณ์ (2534 :
11-12) ได้สรุป จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์เชื่อแน่ว่าชาวลาวครั่งถูกกวาดต้อนเข้ามาในประเทศไทยในรัชสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีปีพุทธศักราช2321และในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชในปีพุทธศักราช
2334 ไม่ปีใดก็ปีหนึ่งอย่างแน่นอน เพราะไทยยกกองทัพไปตีเมืองหลวงพระบาง
และกวาดต้อนครอบครัวของชาวลาวมาในช่วงนั้น เนื่องจากแพ้สงคราม
การตั้งถิ่นฐานของลาวครั่งในประเทศไทย
ลาวหรือไทย คือ ชนชาติเดียวกัน
มีบรรพบุรุษร่วมกันจึงได้มีวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ภาษาพูด ภาษาพูด ภาษาเขียนใกล้เคียงกันมาก
(สุพิศ ศรีพันธุ์ : 2555 ) ได้อ้างไว้ว่าถึง
การปรากฏตัวของชาวลาวครั่งในประเทศไทยพบว่ามีการอพยพโยกย้ายถิ่นฐานในรัชสมัยกรุงธนบุรี
ดังปรากฏหลักฐานในปี พ.ศ. 2314 ปรากฏว่าได้มีการขัดแย้งระหว่าง กษัตริย์ลาวและเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ 2
ตระกูล ทำให้มีการกระด้างกระเดื่องและแยกตัวไปสร้างเมืองใหม่บริเวณ ริมแม่น้ำโขง
ชื่อนครเขื่อนขันกาบแก้วบัวบาน ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตหนองบัวลำภู และกษัตริย์ลาวได้ส่งกองทัพมาตี
เมื่อมีการพ่ายแพ้และบริเวณและเกิดการสู้รบซึ่งฝ่ายเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ซึ่งได้ตั้งตัวเป็นเจ้าเมืองใหม่ เกิดการเพลี่ยงพล้ำเสียชีวิตไป
ส่วนหนึ่งและกลุ่มที่ยังเหลืออยู่จึงได้ไปขอความช่วยเหลือจากพม่าและเจ้าเมืองจำปาศักดิ์แต่ไม่ได้รับความช่วยเหลือแค่ให้ที่ตั้งมั่นอยู่บริเวณชายแดนนครจำปาศักดิ์จากนั้นจึงได้มาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภารจากเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
เพื่อขอเข้าเป็นขอบขันธ์สีมา
ถวายตัวเป็นเมืองขึ้นกับไทยซึ่งได้ทรงโปรดให้เจ้าพระยามหากษัตริย์และเจ้าพระยาสุรสีห์เป็นผู้นำทัพไปช่วยเหลือตีเวียงจันทน์โดยได้รับความร่วมมือจากเจ้าเมืองหลวงพระบางซึ่งเป็นคู่สงครามกับเวียงจันทน์มาก่อน
(
สุพิศ ศรีพันธุ์ : 2555 ) และเมื่อได้รับชัยชนะก็ได้มีการกวาดต้อนผู้คนชาวลาวทั้งเชื่อพระวงศ์สนมกำนัล
ขุนนางข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทหารและประชาชน พร้อมทั้งริบทรัพย์และเกลี้ยกล่อมหัวเมืองรายทางต่างๆ
เช่น ชาวลาวทรงดำ มายังกรุงธนบุรี โดยให้ตั้งบ้านเรือนอยู่เพชรบุรี สุพรรณบุรี
ราชบุรี ส่วนลาวเวียงโปรดให้ไปตั้งบ้านเรือนแถวจังหวัดสระบุรี
ลพบุรี ตะพานหิน จันทบุรี ลาวภูครัง จากเมืองภูครัง ซึ่งเป็นเมือง ริมฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง
ให้เข้ามาตั้งบ้านเรือนแถบนครชัยศรี
พร้อมทั้งอัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบางลงมาประดิษฐาน ณ กรุงธนบุรี ในปี พ.ศ. 2358
ในสมัยรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
เจ้าเมืองเวียงจันทน์ ได้ส่งครอบครัวลาวเมืองภูครัง มายังกรุงเทพมหานคร
โปรดให้ไปตั้งบ้านเรือนที่นครชัยศรี และในสมัยของรัชกาลที่ 3 ชาวลาวครั่ง ซึ่งมีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่เมืองภูครัง
ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง
ได้ถูกกวาดต้อนมาในประเทศไทยอีกครั้งในสมัยที่ไทยได้ทำสงครามกับญวนโดยในการยกทัพกลับจากญวนยกทัพผ่านลาวได้ตั้งมั่นชั่วคราวอยู่ที่เมืองภูครังแล้วจึงนำชาวลาวเหล่านี้มาด้วยและโปรดให้ไปตั้งมั่นอยู่ที่เมืองสุพรรณบุรีและเมืองนครชัยศรีจึงได้เรียกว่า ลาวภูครังหรือลาวครั่ง
( สุพิศ ศรีพันธุ์ : 2555
) ในสมัยที่ลาวอพยพลงมาอยู่ที่เมืองด่านชั่วคราวตอนนั้น
ลาวอดอยากมาก ไม่มีเครื่องมือทำนาจึงได้เลี้ยงครั่งไว้สำหรับย้อมผ้าซึ่งเป็นสิ่งที่ถนัดและคุ้นเคย
ดังนั้น คนไทยจึงเรียกลาวกลุ่มนี้ว่าลาวครั่งหรือลาวขี้ครั่ง (สุพิศ ศรีพันธุ์:2555
) ซึ่งอาจจะเป็นที่มาของชื่อลาวครั่ง สีแดงที่ได้จากครั่งเป็นสีที่เป็นเอกลักษณ์ โดดเด่นและสดใสที่ใช้ในการย้อมผ้าเพื่อใช้ทอเป็นผ้าจกของชาวลาวครั่ง จังหวัดสุพรรณบุรี
อำเภอที่มีชาวลาวครั่งอยู่ในเขตอำเภออู่ทอง อำเภอด่านช้าง และอำเภอเดิมบางนางบวช
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำเภอเดิมบางนางบวช นั้นมีชาวลาวครั่งอาศัยอยู่เป็นจำนวน 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลป่าสะแก ตำบลบ่อกรุ และตำบลหนองกระทุ่ม
ซึ่งจำนวนประชากรส่วนใหญ่เกือบ 80% เป็นชาวลาวครั่งที่มีภาษา
วัฒนธรรม ประเพณีที่แตกต่างออกไป นอกจากนั้นยังมีผ้าทอที่สวยงามและประณีตที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์เป็นอย่างยิ่ง
ชาวลาวครั่งในเขตอำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี อาศัยอยู่ใน 3 ตำบลได้แก่
ตำบลป่าสะแก อาศัยอยู่ที่บ้านวัดขวาง บ้านทุ่งก้านเหลืองและบ้านใหม่ไร่อ้อย
จะใช้นามสกุล “ภูฆัง” ส่วนลาวครั่งร้อยละ 80
ซึ่งอาศัยอยุ่ที่ตำบลหนองกระทุ่มและตำบลบ่อกรุ ส่วนใหญ่ใช้นามสกุล “กาฬภักดี”
( พยนต์ กาฬภักดี : 2552
) เอกลักษณ์เฉพาะตัวของชาวลาวครั่งที่สามารถแบ่งแยกได้ทันทีที่พบ คือ ภาษาพูด
ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่มีเสียงวรรณยุกต์เป็นเสียงสูง ชาวลาวครั่ง
มักเรียกตัวเองตามสำเนียงภาษาท้องถิ่นว่า “ลาวขี้คัง”หรือ“ลาวคัง”นอกจากนั้น
ยังมีวัฒนธรรม ประเพณีที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษยังคงอยู่จนถึงปัจจุบันนี้
ได้แก่ ประเพณียกธง ที่ยังยึดถือและสืบต่อปฏิบัติกันมาโดยจัดขึ้นในเดือนเมษายนของทุกปี และประเพณีขึ้นศาลเจ้านาย
ชาวลาวครั่งจะมีความผูกพันทางเครือญาติสูงมาก ซึ่งถือว่าเป็นเหตุผลที่มีการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์ และการธำรงไว้ซึ่งเอกลักษณ์เฉพาะตัว
สำหรับประเพณียกธงนั้น
เป็นการแสดงออกถึงความสามัคคีและร่วมมือร่วมใจของประชาชนในท้องถิ่น
การแต่งกายของชาวลาวครั่ง
ในชีวิตประจำวันจะแต่งกายตามปกติ
ยกเว้นในการจัดงานประเพณีหรืองานที่มีการรวมกลุ่มที่เป็นงานซึ่งแสดงออกถึงการรวมกลุ่มกัน
ซึ่งแสดงออกถึงความสามัคคีของหมู่คณะหรือการรับแขกคนสำคัญของท้องถิ่น
ผู้ชายจะมีผ้าขาวม้าคาดเอวเป็นลายตารางหมากรุก 5 สี
ส่วนผู้หญิงจะมีการแต่งกายด้วยผ้าทอมัดหมี่ ต่อผ้าซิ่นตีนจก
ซึ่งประกอบไปด้วยส่วนตัวผ้าซิ่น นิยมทอด้วยผ้ามัดหมี่ทอแซมสลับกับการ “ทอแบบขิด”เป็นลายทางเล็กๆสีเหลืองหรือสีขาวคั่นระหว่างผ้ามัดหมี่เพื่อแบ่งช่องลวดลายผ้าสลับเน้นลวดลาย
วัตถุดิบที่ใช้ ได้แก่ ผ้าฝ้าย ผ้าไหม หรือใยสังเคราะห์
ส่วนสีแดงนั้นใช้เป็นลายซิ่นหรือเรียกกันว่าตีนซิ่น
ลักษณะทั่วไปของลาวครั่ง
คือ
มีรูปร่างค่อนข้างไปทางสูงหรือสันทัด ทั้งหญิงและชายผิวค่อนข้องเหลือง ตาสองชั้น
ใบหน้า ไม่เหลี่ยมมากจมูกมีสันผมเหยียดตรง ชอบนุ่งผ้าสิ้นคลุมเข่า
นุ่งซิ่นหมี่มีดอก ลาวครั่งมีเอกลักษณ์
ทางวัฒนธรรมในการทอผ้าเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน และใช้ประกอบพิธีกรรมต่างๆโดยเฉพาะเทศกาลต่างๆ
ทางวัฒนธรรมในการทอผ้าเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน และใช้ประกอบพิธีกรรมต่างๆโดยเฉพาะเทศกาลต่างๆ
จากเอกสารของนักวิจัยที่ทำการค้นคว้าและศึกษาอาจจะสรุปความหมายของ
ลาวครั่ง ได้ 2
ประเด็น คือ
ประเด็นที่
1
มาจากชื่อของภูเขา ในอาณาเขตของอาณาจักรหลวงพระบาง ที่มีรูปร่างเหมือนกับระฆัง จึงทำให้เรียกชื่อตามนั้น คือ ลาวภูฆัง และ เรียกกันจนเพี้ยนกลายเป็น
ลาวครั่ง
ประเด็นที่
2
สันนิษฐานว่าสาเหตุที่เรียกชื่อกลุ่มของตนเองมาตั้งแต่โบราณว่า
ลาวครั่ง เป็นการเรียกตาม
ชื่อของครั่งที่นิยม นำมาใช้ย้อมสีผ้าให้เป็นสีแดง เพื่อใช้ในการทอเป็นเครื่องนุ่งห่มสำหรับคนไทยเชื้อสายลาวครั่งในจังหวัดสุพรรณบุรี ส่วนมากปัจจุบัน อาศัยอยู่ใน อำเภอเดิมบางนางบวช เช่น ตำบลบ่อกรุ ตำบลหนองกระทุ่ม ตำบลป่าสะแก ในอำเภอด่านช้าง เช่น ตำบลหนองมะค่าโมง ส่วนมากนับถือศาสนาพุทธ วัฒนธรรมของชาวลาวครั่งคนไทยเชื้อสายลาวครั่ง มีวัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ได้แก่ ภาษา การแต่งกาย ประเพณี และพิธีกรรมความเชื่อ ต่างๆโดยได้ถือปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน
ชื่อของครั่งที่นิยม นำมาใช้ย้อมสีผ้าให้เป็นสีแดง เพื่อใช้ในการทอเป็นเครื่องนุ่งห่มสำหรับคนไทยเชื้อสายลาวครั่งในจังหวัดสุพรรณบุรี ส่วนมากปัจจุบัน อาศัยอยู่ใน อำเภอเดิมบางนางบวช เช่น ตำบลบ่อกรุ ตำบลหนองกระทุ่ม ตำบลป่าสะแก ในอำเภอด่านช้าง เช่น ตำบลหนองมะค่าโมง ส่วนมากนับถือศาสนาพุทธ วัฒนธรรมของชาวลาวครั่งคนไทยเชื้อสายลาวครั่ง มีวัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ได้แก่ ภาษา การแต่งกาย ประเพณี และพิธีกรรมความเชื่อ ต่างๆโดยได้ถือปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน
ภาษาที่ใช้ คือ ภาษาลาวครั่ง
นักภาษาศาสตร์ได้จัดภาษาลาวครั่งอยู่ในตระกูลภาษาไท - กะได
การแต่งกายของคนไทยเชื้อสายลาวครั่ง
จะมีแบบฉบับเป็นของตนเองซึ่งนำวัสดุจากธรรมชาติ
ในท้องถิ่นคือ ฝ้าย และไหม ที่เป็นวัสดุในการทอ เทคนิคที่ใช้มีทั้งการจกและมัดหมี่ ผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ที่โดด
เด่นของชาวลาวครั่ง คือ ผ้าซิ่นมัดหมี่ ต่อตีนจก ซึ่งมีลายผ้าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะท้องถิ่น และ ผ้าขาวม้า 5 สี
มีลวดลายหลากหลายและสีที่ใช้เป็นสีที่ได้จากธรรมชาติ
ในท้องถิ่นคือ ฝ้าย และไหม ที่เป็นวัสดุในการทอ เทคนิคที่ใช้มีทั้งการจกและมัดหมี่ ผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ที่โดด
เด่นของชาวลาวครั่ง คือ ผ้าซิ่นมัดหมี่ ต่อตีนจก ซึ่งมีลายผ้าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะท้องถิ่น และ ผ้าขาวม้า 5 สี
มีลวดลายหลากหลายและสีที่ใช้เป็นสีที่ได้จากธรรมชาติ
ประเพณียกธงสงกรานต์
เป็นประเพณีพื้นบ้านที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาช้านานในหมู่คนไทยเชื้อสายลาวครั่ง
ชาวบ้านมักเรียกว่างานยกทุง น่าจะคล้ายกับที่ชาวเหนือเรียกว่าตุง
เป็นประเพณีเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ชาวบ้านได้ร่วมกันอนุรักษ์เอาไว้
โดยความร่วมมือกันของผู้คนในตำบลนั้นๆ ซึ่งจะประกอบด้วยหลายๆ หมู่บ้าน
เมื่อการยกธงสงกรานต์มีขึ้นที่หมู่บ้านใด
ก็หมายถึงวันสงกรานต์ที่หมู่บ้านนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว และชาวบ้านก็จะเริ่มทำไร่ทำนากันต่อไปตามแบบวิถีชาวบ้าน
โดยการจัดงานนี้จะมีการนัดหมายกันว่าในแต่ละหมู่จะจัดขึ้นวันใดเพื่อไม่ให้ตรงกัน
โดยชาวบ้านจะนำ คันธงหรือเสาธง และธงที่แต่ละหมู่บ้านเตรียมเอาไว้แห่มาที่วัด
คันธงนั้นทำด้วยไม้ไผ่ทั้งลำซึ่งจะมีการประกวดประขันกันด้วย ซึ่งจะแบ่งออกเป็น
การประกวดความยาวโดยวัดจากโคนถึงปลายยอด ซึ่งแต่ละหมู่บ้านจะปกปิดไม่ยอมให้ใครรู้
การประกวดความใหญ่โดยวัดโดยรอบของโคนเสา
การประกวดความสวยงามของธงซึ่งชาวบ้านจะช่วยกันเย็บ
การประกวดความสามัคคีของคนในชุมชนโดยการนับจำนวนของคนที่มาร่วมงานว่าหมู่บ้านใดสามารถดึงคนมาร่วมแห่ได้มากที่สุด
สำหรับผู้หญิงนั้นจะนัดกันใส่ผ้าซิ่นตีนแดง
ที่ทอเองด้วยมือของกลุ่มแม่บ้านมาร่วมงานกันเพื่อเป็นการอนุรักษ์งานหัตถกรรมพื้นบ้าน
เมื่อขบวนแห่มาถึงวัดก็จะมีการละเล่นต่างๆที่จัดขึ้น
เช่นการประกวดรำวงย้อนยุคของแต่ละหมู่บ้าน การละเล่นประเภทกีฬา เช่น ชักเย่อ
ปิดตาชกมวย ปิดตาตีหม้อ ฯลฯ
เสร็จแล้วก็เตรียมแห่ธงรอบวัดสามรอบก่อนจะนำไปปักลงหลุมที่เตรียมขุดเอาไว้
การแห่ธงของแต่ละหมู่บ้านนั้นก็จะมีเครื่องเป่าและรำวงกันอย่างสนุกสนาน
ระหว่างวนรอบโบสถ์นี้ใช้เวลานานพอสมควร เนื่องจากบรรดาผู้แบกธง
จะดึงคันธงชักเย่อกัน ท่ามกลางกองเชียร์อย่างสนุกสนาน
ในตอนที่จะนำธงไปปักลงหลุมนั้นบางทีก็จะมีการแกล้งกันเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายนำธงไปปักได้ง่ายๆ
แกล้งกันพอหอมปากหอมคอ
หลังปักธงได้แล้วชาวบ้านก็จะรำวงรอบเสาธงอีกสามรอบเพื่อเป็นการสักการะ
จากนั้นก็จะมีการแห่ดอกไม้รอบหมู่บ้าน
ปรกติการแห่ดอกไม้นี้ก็จะมีขึ้นทุกวันนับตั้งแต่วันที่ 13 เป็นต้นมา การแห่ดอกไม้ก็จะมีพระภิกษุสงฆ์และสามเณรเดินถือดอกไม้ไปด้วย
โดยชาวบ้านจะเตรียมขันน้ำใส่ขมิ้นและน้ำหอมและดอกไม้คอยรับอยู่ตลอดทางที่พระจะผ่านมา
พอพระผ่านมาถึงก็จะเอาดอกไม้จุ่มในขันน้ำของชาวบ้านและประพรมให้เพื่อเป็นศิริมงคล
เสร็จแล้วชาวบ้านก็จะเดินตามพระไปด้วยพอผ่านบ้านถัดไปก็ร่วมกันเอาดอกไม้ประพรมให้ชาวบ้านที่รออยู่ต่อจากพระด้วย
ซึ่งผู้คนก็จะมากขึ้นเรื่อยๆจนจบระยะทางกลับเข้าวัด
จากนั้นชาวบ้านก็จะนำดอกไม้ไปถวายพระพุทธรูป เป็นอันเสร็จพิธี
จึงนับเป็นงานบุญอย่างหนึ่งที่ประชาชนในหมู่บ้านมีความสามัคคีร่วมกันจัดขึ้นได้ทั้งบุญกุศลและความสนุกสนานโดยไม่สิ้นเปลืองมากนัก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น